เมนู

5. ทัพพเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระทัพพเถระ


[142] ได้ยินว่า ท่านพระทัพพเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนพระทัพพมัลลบุตรองค์ใด เป็นผู้อัน
บุคคลอื่น ฝึกฝนได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ พระทัพพ-
มัลลบุตรองค์นั้น เป็นผู้อันพระศาสดาได้ทรงฝึกฝน
ด้วยการฝึกฝนด้วยมรรคอันประเสริฐ เป็นผู้สันโดษ
ข้ามความสงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจาก-
ความขลาด มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนได้แล้ว.

อรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระทัพพเถระเริ่มต้นว่า โย ทุทฺทมโย. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ เกิดในเรือนแห่งตระกูล กรุงหงสาวดี ในศาสนา-
ของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ เจริญวัยแล้ว ฟังพระธรรม-
เทศนาโดยดังกล่าวแล้วในบทหลังนั่นแล เห็นพระบรมศาสดาทรงตั้งภิกษุ
รูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผ้าปูลาดเสนาสนะ
จึงเสริมสร้างอธิการ ปรารถนาฐานันดรนั้น เป็นผู้อันพระบรมศาสดา ทรง
พยากรณ์แล้ว บำเพ็ญกุศลจนตลอดชีวิต แล้วท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายบวชในเวลาที่ศาสนาของพระทศพล พระนามว่า กัสสปะเสื่อมโทรม

ในครั้งนั้น ยังมีคนอีก 6 คน พร้อมทั้งท่านจึงรวมเป็น ภิกษุ 7 รูป
เป็นผู้มีความคิดอย่างเดียวกัน เห็นภิกษุเหล่าอื่นไม่กระทำความเคารพในพระ-
ศาสนา จึงคิดกันว่า ในที่นี้ พวกเราจักทำอะไรได้ พวกเราจักบำเพ็ญสมณธรรม
ในที่ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้แล้ว จึงผูกบันได ปีน
ขึ้นสู่ยอดเขาสูง พูดกันว่า ผู้ที่รู้กำลังจิตของตน ๆ จักผลักบันไดลง ผู้ที่ยัง
มีความอาลัยในชีวิตจงลงไปเสีย อย่าเป็นผู้ต้องเดือดร้อนในภายหลังเลย ดังนี้
แล้ว ทุกรูปร่วมใจกัน ผลักบันไดลง ต่างโอวาทกันและกันว่า อาวุโสทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วนั่งในที่ ๆ ตนชอบใจ เริ่มบำเพ็ญ
สมณธรรม.
พระเถระบรรลุพระอรหัตผล ในวันที่ 5 ในที่นั้นแหละ คิดว่า
กิจของเราสำเร็จแล้ว เราจักกระทำอะไรในที่นี้ ดังนี้แล้ว นำบิณฑบาตมาจาก
อุตตรกุรุทวีป ด้วยฤทธิ์ กล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงฉันบิณฑบาตนี้
กิจด้วยภิกษาจาร จงเป็นหน้าที่ของเรา พวกท่านจงทำหน้าที่ของตน ๆ เถิด.
ภิกษุทั้งหลาย ถามว่า ดูก่อนอาวุโส พวกเราผลักบนไดลง ได้พูดตกลง
กันอย่างนี้ว่า ผู้ใดทำให้แจ้งซึ่งธรรมก่อน ผู้นั้นจงนำอาหารมา ภิกษุที่เหลือ
จะบริโภคอาหารที่นำมาแล้วบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้หรืออย่างไร ? พระเถระ
ตอบว่า ไม่มีข้อตกลงดังนั้นหรอกอาวุโส. ภิกษุทั้งหลายจึงพูดว่า ท่านได้
(บรรลุธรรม) ด้วยบุพเหตุของตน แม้พวกเราทั้งหลายก็จักสามารถทำที่สุด
แห่งทุกข์ได้ ท่านจงไปเถิด ดังนี้. พระเถระเมื่อไม่อาจจะยังภิกษุเหล่านั้นให้
ยินยอมได้ จึงบริโภคบิณฑบาตในที่ ๆ ผาสุกแล้วหลีกไป. พระเถระอีกรูปหนึ่ง
บรรลุอนาคามิผล ในวันที่ 7 จุติจากภพนั้นแล้ว บังเกิดในพรหมโลกชั้น
สุทธาวาส. พระเถระนอกนี้ จุติจากภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ตลอดกาลพุทธันดรหนึ่ง แล้วต่างเกิดในตระกูลนั้น ๆ ในกาล

เป็นที่บังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ คือ รูปหนึ่ง เกิดในราช-
ตระกูล ในตักกศิลานคร แคว้นคันธาระ รูปหนึ่ง เกิดในท้องของนาง
ปริพาชิกาในมัชฌันติกรัฐ รูปหนึ่ง เกิดในเรือนของกุฏุมพี แคว้นพาหิยะ
รูปหนึ่ง เกิดในสำนักของนางภิกษุณี.
ส่วนพระทัพพเถระนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนของเจ้ามัลละ องค์หนึ่งใน
อนุปิยนคร แคว้นมัลละ. มารดาของท่าน ตลอดลูกตาย (ตายทั้งกลม)
คนทั้งหลายจึงนำเอาร่างที่ตายไปป่าช้า ยกขึ้นสู่เชิงตะกอน ใส่ไฟแล้ว. เพราะ
กำลังความร้อนของไฟ ทำให้พื้นท้องของนางแยกออกเป็นสองส่วน. ทารก
ลอยขึ้นด้วยกำลังบุญของตนแล้วตกลงที่กองไม้. คนทั้งหลายจึงนำทารกนั้นมา
มอบให้ยาย. ผู้เป็นยาย เมื่อจะขนานนามของทารกนั้น ได้ตั้งชื่อว่า ทัพพะ
เพราะตกไปที่เสาไม้มีแก่น จึงรอดชีวิต.
ก็ในวันที่ทารกนั้น มีอายุได้ 7 ขวบ พระบรมศาสดามีภิกษุสงฆ์
เป็นบริวาร เสด็จจาริกไปในแคว้นมัลละ ประทับอยู่ในอนุปิยัมพวัน. ทัพพ-
กุมารเห็นพระศาสดาแล้ว เลื่อมใสด้วยการเห็นเท่านั้น ประสงค์จะบวชบอกลา
ยายว่า ข้าพเจ้าจักบวชในสำนักของพระทศพล. ยายพูดว่า ดีแล้ว พ่อคุณ
แล้วพาทัพพกุมาร ไปยังสำนักของพระบรมศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงยังกุมารนี้ให้บรรพชาเถิด. พระศาสดาทรงให้สัญญา
แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงยังทารกนี้ให้บรรพชา พระเถระ
นั้นฟังคำของพระศาสดาแล้ว เมื่อจะยังทัพพกุมารให้บรรพชาบอกตจปัญจ-
กัมมัฏฐานแล้ว.
สัตว์ผู้สมบูรณ์ด้วยบุรพเหตุ มีอภินิหารอันกระทำแล้ว ดำรงอยู่แล้ว
ในโสดาปัตติผล ในขณะปลงเกลียวผมครั้งแรก เมื่อเกลียวผมที่สองถูกยกขึ้น
ก็ดำรงอยู่ในสกทาคามิผล เมื่อเกลียวผมที่สามถูกยกขึ้น ก็ดำรงอยู่ในอนาคามิผล

ก็เวลาที่ปลงผมเสร็จ และการทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตผล ได้มีในเวลาไม่ก่อน
ไม่หลังกัน. พระบรมศาสดา เสด็จประทับสำราญพระอิริยาบถ ในแคว้นมัลละ
แล้ว เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในเวฬุวันมหาวิหาร.
ท่านพระทัพพมัลลบุตรนี้ เร้นอยู่แล้วในที่ลับ ณ กรุงราชคฤห์นั้น
ตรวจดูความสำเร็จกิจของตน ประสงค์จะอุทิศกาย ช่วยขวนขวายกิจของสงฆ์
จึงคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงปูลาดเสนาสนะ และจัดภัตตาหารเพื่อพระภิกษุสงฆ์
ท่านไปยังสำนักของพระศาสดาแล้ว กราบทูลถึงปริวิตกของตน. พระบรมศาสดา
ทรงประทานสาธุการแล้ว ทรงมอบตำแหน่งปูลาดเสนาสนะ และตำแหน่ง
ภัตตุทเทสก์ แก่ท่าน.
ลำดับนั้น พระบรมศาสดา ทรงพระดำริว่า ทัพพสามเณรนี้ยังเล็กแท้
แต่ดำรงอยู่ในตำแหน่งใหญ่ ดังนี้แล้ว จึงโปรดให้ท่านอุปสมบท ในเวลาที่มี
อายุได้ 7 ขวบเท่านั้น. นับจำเดิมแต่อุปสมบทแล้ว พระเถระจัดแจงเสนาสนะ
และแจกภิกษาแด่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมด ที่อาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ ความที่ท่านเป็นผู้
จัดแจงเสนาสนะ ได้ปรากฏกระฉ่อนไปทั่วทุกทิศว่า ได้ยินว่า พระทัพพมัลล-
บุตร จัดแจงเสนาสนะแก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน ไว้ในที่เดียวกัน จัดแจงเสนาสนะ
ในที่ใกล้บ้าง ไกลบ้าง (บางครั้ง) เมื่อไม่สามารถจะไปได้ ก็ต้องนำไปด้วย
ฤทธิ์.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ขอให้ท่านทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะ ทั้ง
ในเวลา ทั้งนอกเวลา อย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านจงจัดแจงเสนาสนะในชีวกัมพ-
วันวิหาร ให้พวกเรา ท่านจงจัดเสนาสนะในมัทธกุจฉิมิคทายวัน ให้พวกเรา
ต่างพากันเห็นฤทธิ์ของพระทัพพมัลลบุตรนั้นแล้วจึงไป. แม้ท่านพระทัพพ-
มัลลบุตรก็เนรมิตกาย อันสำเร็จด้วยมโนมยิทธิ ให้ภิกษุที่เหมือนตนแต่ละรูป
แก่พระเถระแต่ละองค์ เดินนำหน้าใช้นิ้วมือที่เรื่องแสงชี้ว่า นี้เตียง นี้ตั่ง

จัดแจงเสนาสนะแล้วจึงกลับยังที่อยู่ของตน นี้เป็นความสังเขปในเรื่องนี้. แต่
โดยพิสดาร เรื่องนี้ จะมีมาในพระบาลีเท่านั้น พระบรมศาสดา ทรงกระทำ
เหตุนี้แหละ ให้เป็นอัตถุปบัติ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ในเวลาต่อมา เสด็จ
ประทับนั่ง ท่ามกลางหมู่พระอริยสงฆ์ แต่งตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งแห่ง
ภิกษุผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ ด้วยพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พระทัพพมัลลบุตรเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้จัดแจงเสนาสนะ.
สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระพิชิตมาร พระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงรู้
แจ้งโลกทั้งหมด เป็นมุนี มีพระจักษุ ได้เสด็จอุบัติ
ขึ้นในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ตรัสสอน
ทำให้สัตว์รู้ชัด ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรง-
ฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงยังสรรพสัตว์ให้
ข้ามพ้น (สงสาร) พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ทรง
ประกอบด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาประโยชน์แก่
สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าทุกคนให้ดำรงอยู่ใน
เบญจศีล เมื่อเป็นเช่นนี้พระศาสนาจึงหมดความอากูล
ว่างจากพวกเดียรถีย์และวิจิตรด้วยพระอรหันต์ ผู้คงที่มี
ความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้นสูง 58 ศอก
มีพระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะ
อันประเสริฐ 32 ประการ ครั้งนั้นเหล่าสัตว์มีอายุขัย
แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น ดำรงพระชนม์อยู่
โดยกาลประมาณเท่านั้น ทรงยังประชาชนเป็นอันมาก
ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้ ครั้งนั้น เราเป็นบุตร

เศรษฐีมียศใหญ่ ในพระนครหงสาวดี เข้าไปเฝ้า
พระองค์ผู้ส่องโลกให้สว่างไปทั่ว แล้วได้สดับพระ-
ธรรมเทศนา เราได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา ผู้-
ตรัสสรรเสริญสาวกของพระองค์ ผู้แต่งตั้งเสนาสนะ
ให้ภิกษุทั้งหลาย ก็ชอบใจ จึงทำอธิการแด่พระองค์
ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งพระสงฆ์แล้ว
หมอบลงแทบพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วปรารถนา
ฐานันดรนั้น. ครั้งนั้น พระมหาวีรเจ้า พระองค์นั้น
ได้ทรงพยากรณ์กรรมของเราไว้ว่า เศรษฐีบุตรนี้ ได้
นิมนต์พระโลกนายกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ให้ฉันตลอด
7 วัน เขามีดวงตาดุจกลีบบัว มีจะงอยบ่าเหมือน
ของราชสีห์ มีผิวพรรณดุจทองคำ หมอบอยู่แทบเท้า
ของเรา ปรารถนาตำแหน่งอันสูงสุด ในกัปที่แสน
แต่กัปนี้ พระศาสดา พระนามว่า โคดม ผู้สมภพ
ในวงศ์ของพระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
เศรษฐีบุตรนี้จักได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ปรากฏโดยชื่อว่า "ทัพพะ" เป็นภิกษุผู้เลิศฝ่าย
เสนาสนปัญญาปกะเหมือนปรารถนา ด้วยกรรมที่ทำ
ไว้ดีแล้ว และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่าง
มนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวย-
เทพสมบัติในเทวโลก 300 ครั้ง และได้เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ 500 ครั้ง เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์

โดยคณนานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงมี
ความสุขในที่ทุกสถาน.
ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ พระผู้เป็นนายกทรง
พระนามว่า วิปัสสี ผู้มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ้ง
ธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เราเป็นผู้มีจิต
ขัดเคือง ได้พูดตู่สาวกของพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์
นั้น ผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านเป็น
ผู้บริสุทธิ์ และเราจับสลากแล้ว ถวายข้าวสุกที่หุงด้วย
น้ำนมแก่พระเถระทั้งหลาย ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่
ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่านรชน พระองค์
นั่นแหละ ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธุ์
ของพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่าวิญญูชน
ทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระ-
องค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่เดียรถีย์ผู้
หลอกลวงเสีย ทรงแนะนำเวไนยสัตว์แล้ว เสด็จ-
ปรินิพพาน พร้อมทั้งพระสาวก ครั้นเมื่อพระโลกนาถ
พร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้วครั้นเมื่อศาสนธรรม
กำลังจะสูญสิ้นอันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พากัน
สลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้าคร่ำครวญว่า ดวงตา
คือ พระธรรมจักดับแล้ว เราจักไม่ได้เห็นท่านผู้มีวัตร
ดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟังพระสัทธรรม โอหนอ
พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย ครั้งนั้น พื้นปฐพีทั้งหมดนี้
ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสั่นสะเทือน สาครสมุทรดุจ

เหือดแห้ง แม่น้ำครวญครางน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลอง
ดังทั่ว 4 ทิศ อสนีบาต อันน่ากลัว ตกลงโดยรอบ
อุกกาบาต ตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏ เกลียวแห่ง
เปลวไฟ มีควันพวยพุ่ง หมู่มฤคร้องครวญครางอย่าง
น่าสงสาร ครั้งนั้น เราทั้งหลาย เป็นภิกษุรวม 7 รูป
ด้วยกัน ได้เห็นความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดงเหตุว่า
พระศาสนาจะสิ้นสูญ จึงเกิดความสังเวช คิดกันว่า
เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมีชีวิตอยู่ เราทั้ง-
หลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่ บำเพียรตามคำสอนของ
พระชินสีห์ ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน
ป่าสูงลิ่ว เราไต่ภูเขาขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะอง
ให้ตกลงเสีย ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่า
การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหาได้ยาก อีกประการหนึ่ง
ความเชื่อ ที่บุคคลได้แล้ว หาได้ยาก และพระศาสนา
ยังเหลืออีกเล็กน้อย ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสีย จะ
ต้องตกลงไปในสาคร คือ ความทุกข์อันไม่มีสิ้นสุด
เพราะฉะนั้น พวกเราควรกระทำความเพียร ตลอดเวลา
ที่พระศาสนายังดำรงอยู่เถิด ดังนี้. ครั้งนั้น พระเถระ
นั้นเป็นพระอรหันต์ พระอนุเถระได้เป็นพระอนาคามี
พวกเราที่เหลือจากนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบ
ความเพียร จึงได้ไปยังเทวโลก องค์ที่ข้ามส่งสารไปได้
ปรินิพพานแล้ว อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส
เราทั้งหลาย คือตัวเรา 1 พระปุกกุสาติ 1 พระสภิยะ 1

พระพาหิยะ 1 พระกุมารกัสสปะ 1 เกิดในที่นั้น ๆ
อันพระโคดมบรมศาสดา ทรงอนุเคราะห์ จึงหลุดพ้น
ไปจากเครื่องจองจำ คือ วัฏสงสารได้ เราเกิดใน
พวกมัลลกษัตริย์ ในพระนครกุสินารา เมื่อเรายังอยู่ใน
ครรภ์นั่นแล มารดาได้ถึงแก่กรรม เขาช่วยกันยกขึ้นสู่
เชิงตะกอน เราตกลงมาจากเชิงตะกอนนั้นตกลงไปใน
กองไม้ ฉะนั้น จึงปรากฏนามว่า ทัพพะ ด้วยผลแห่ง
การประพฤติพรหมจรรย์ เรามีอายุได้ 7 ขวบ ก็หลุด
พ้นจากกิเลส ด้วยผลที่ถวายข้าวสุกผสมน้ำมัน เราจึง
เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ 5 ด้วยบาปเพราะกล่าวตู่พระ-
ขีณาสพ เราจึงลูกคนโจทมากมาย บัดนี้ เราล่วงบุญ
และบาปได้ทั้งสองอย่างแล้ว ได้บรรลุบรมสันติธรรม
เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราแต่งตั้งเสนาสนะ ให้ท่านผู้มี
วัตรอันดีงามทั้งหลายยินดี พระพิชิตมารทรงพอพระ-
ทัย ในคุณข้อนั้น จึงได้ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้
หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว
เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาในสำนัก
พระพุทธเจ้า ของเรานี้ เป็นการมาดีแล้ว วิชชา 3
เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เราได้ทำเสร็จแล้ว คุณพิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4
วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอน
ของพระพุทธเจ้าเราได้กระทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

บาปกรรมที่ท่านการทำไว้ ด้วยสามารถแห่งการกำจัดพระเถระผู้เป็น
พระขีณาสพรูปหนึ่งในกาลก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้หมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี
อันมีมาแล้วเหมือนภิกษุชื่อว่า เมตติยะ และภุมมชกะ ที่ถูกเตือนด้วย กมฺม-
ปิโลติกาย นั้นแหละ เข้าใจผิดว่า พวกเราถูกพระเถระนี้ ทำให้แตกกับคฤหบดี
ชื่อว่า กัลยาณภัตติยะ จึงกำจัดเสียด้วยปาราชิกธรรมอันหามูลมิได้. และเมื่อ
อธิกรณ์นั้น อันสงฆ์ระงับแล้วด้วยสติวินัย พระเถระนี้ เมื่อจะประกาศคุณ
ของตน เพื่ออนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
เมื่อก่อนพระทัพพมัลลบุตรองค์ใด เป็นผู้อัน
บุคคลอื่นฝึกฝนได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ พระทัพพมัลล-
บุตรองค์นั้นเป็นผู้อันพระศาสดาได้ทรงฝึกฝนด้วยการ
ฝึกฝนด้วยมรรคอันประเสริฐ เป็นผู้สันโดษข้ามความ
สงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด
มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนได้แล้ว
ดังนี้.
ศัพท์ว่า โย ในคาถานั้น แสดงถึงบุคคลผู้ไม่ได้กำหนดแน่นอน.
ด้วยบทว่า โส นี้ พึงทราบว่า ท่านกำหนดความแน่นอนของบุคคลนั้นไว้
แล้ว. แม้ด้วยบททั้งสอง พระเถระ กล่าวหมายถึงตนเอง โดยทำให้เป็นดุจ
คนอื่น. บทว่า ทุทฺทมโย ความว่าฝึกได้โดยยาก คือ ไม่อาจเพื่อจะฝึกได้.
และพระเถระกล่าวบทนี้ไว้ เพราะคิดถึงความดิ้นรนแห่งจิตที่เคลื่อนไปด้วย
ความเมา ของเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึก คือ ทิฏฐิ และความไม่สงบแห่งอินทรีย์
ทั้งหลาย. บทว่า ทเมน ได้แก่ ฝึกฝนด้วยมรรคอันเลิศ สูงสุด อธิบายว่า
ผู้ที่ฝึกแล้ว ด้วยการฝึกด้วยมรรคอันเลิศนั้น สมควรกล่าวได้ว่า มีตนอันฝึก

แล้ว ด้วยการฝึกด้วยมรรคอันเลิศนั้น สมควรกล่าวได้ว่า มีตนอันฝึกแล้ว
เพราะไม่มีสิ่งที่จะต้องอีก ไม่ใช่ฝึกด้วยอย่างอื่น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ทเมน ความว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ฝึกแล้ว.
บทว่า ทพฺโพ เท่ากับ ทฺรพฺโย ความว่า สมควร. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงมีถึงพระเถระนี้แหละ จึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนทัพพะ ผู้ที่
สมควร จะไม่กล่าวแก้อย่างนี้ เลย. บทว่า สนฺตุสฺสิโต ความว่า สันโดษ
แล้ว ด้วยสันโดษในปัจจัยตามมีตามได้ ด้วยสันโดษในฌานสมาบัติ และด้วย
สันโดษในมรรคผล. บทว่า วิติณฺณกงฺโข ความว่า ชื่อว่า มีความสงสัย
ปราศไปแล้ว ด้วยความสงสัยในวัตถุ 16 และในวัตถุ 8 เพราะเพิกถอน
ความสงสัยได้แล้ว ด้วยปฐมมรรคนั่นแหละ. บทว่า วิชิตาวี ความว่า ชื่อว่า
ชนะแล้ว เพราะชนะแล้ว คือกำจัดได้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นฝ่ายสังกิเลส แม้
ทั้งหมด อันบุรุษชาติอาชาไนย พึงชนะ
บทว่า อเปตเภรโว ความว่า ชื่อว่า ปราศจากความขลาด คือ
ชื่อว่า ปราศจากภัย เพราะภัย 25 อย่าง ปราศไปแล้ว โดยประการทั้งปวง.
บทว่า ทพฺโพ เป็นคำระบุถึงชื่อ ซ้ำอีก. ในบทว่า ปรินิพฺพุโต นี้
ปรินิพพาน มี 2 คือ กิเลสปรินิพพาน ซึ่งได้แก่ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1
ขันธปรินิพพาน ซึ่งได้แก่ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1. ใน 2 อย่างนั้น
ในคาถานี้ท่านหมายเอากิเลสปรินิพพาน เพราะฉะนั้น จึงได้ความว่า ชื่อว่า
ปรินิพพานแล้ว ด้วยกิเลสปรินิพพาน เพราะปหาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรละ.)
อันมรรคละได้แล้วโดยประการทั้งปวง. บทว่า ฐิตตฺโต ความว่า เป็นผู้มี
จิตมั่นคง คือไม่หวั่นไหว ได้แก่ ไม่สั่นสะเทือน ด้วยโลกธรรมทั้งหลาย
เพราะถึงความเป็นผู้คงที่ ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น. ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาต ลง
ในอรรถแห่งเหตุ. ด้วย หิ นิบาตนั้น ส่องความว่า เพราะเหตุที่ เมื่อก่อน

พระทัพพมัลลบุตร เป็นผู้อันบุคคลอื่นสอนได้ยาก แต่ท่านอันพระศาสดาทรง
ฝึก ด้วยการฝึกฝนด้วยมรรคอันสูงสุด เป็นผู้สันโดษ ข้ามความสงสัยได้แล้ว
เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด ฉะนั้น พระทัพพมัลลบุตรนั้น จึงดับ
กิเลสได้แล้ว และต่อแต่นั้น ก็เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น ทำจิตให้เลื่อมใส ในปรินิพ-
พานนั้น ที่มีแล้วอย่างนี้ ไม่ใช่ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างอื่น เพราะฉะนั้น พระ
เถระเมื่อจะอนุเคราะห์เหล่าสัตว์ ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ เพราะการแนะนำของผู้อื่น
จึงพยากรณ์อรหัตผล.
จบอรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถรคาถา

6. สัมภูตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสัมภูตเถระ


[143] ได้ยินว่า พระสัมภูตเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภิกษุใดมาสู่ป่าสีตวันแล้ว ภิกษุนั้นเป็น
ผู้อยู่แต่ผู้เดียว สันโดษ มีจิตตั้งมั่น ชนะกิเลส
ปราศจากขนลุกพอง มีปัญญา รักษากายคตา-
สติ อยู่.

อรรถกถาสัมภูตเถรคาถา


คาถาของท่านพระสัมภูตเถระเริ่มต้นว่า โย สีตวนํ ดังนี้. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า นับถอยหลังจากนี้ไป 118 กัป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่า อัตถทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ยังหมู่สัตวโลก พร้อม